แคปซูลสารสกัดกระชายขาว

แคปซูลสารสกัดกระชายขาว กระชาย หรือ ขิงจีน เป็นพืชสมุนไพรที่ปลูกเลี้ยงกันในประเทศจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีชื่อสามัญเรียกหลายอย่าง Fingerroot หรือ Chainese ginger หรือ Chainese Key หรือ Galingale มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Boesenbergia rotunda (L.) Mansf. เป็นพืชล้มลุกอายุหลายปี มีลำต้นอยู่ใต้ดิน เรียกว่า เหง้า รากสะสมอาหารจนพองเป็นก้านคล้ายนิ้วมือ เรียกว่า แง่ง มีลักษณะและสรรพคุณโดยทั่วไป กระชายมีคุณสมบัติบำรุงร่างกาย มีรสชาติเผ็ดร้อน มีกลิ่นหอมระเหยอ่อนๆ ที่สำคัญยังเต็มไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด รวมไปถึงมีสาร สำคัญที่แตกต่างกันกับ กระชายในแต่ละสายพันธุ์ และแต่ละประเภทอีกด้วย

ศ.นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา คณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า ทีมวิจัยที่เป็นการร่วมมือกันของคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ TCELS พบว่า ในกระชายขาวมีสารสำคัญอยู่ 2 ตัว ที่มีฤทธิ์ต้าน

โควิด-19 สูงมาก ด้าน ดร.ศุภฤกษ์ บวรภิญโญ ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านการค้นหาตัวยาECDD และเป็นอาจารย์ประจำคณะวิทยา
ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวว่า ในกระชายขาวนั้นมีสารสกัดจากกระชายขาวที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ได้ถึง 100% โดยสารสำคัญในกระชายขาวนั้นก็คือสาร PINOSA ซึ่งประกอบไปด้วย
– Pandulatin A
– Pinostrobin

ทั้งนี้ สารทั้งสองชนิดในกระชายขาว สามารถทำหน้าที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ โดยสารสำคัญนี้จะสามารถลดจำนวนเซลล์ในร่างกาย ที่เกิดการติดเชื้อจาก 100% ให้ลดลงจนเหลือ 0% เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังสามารถยับยั้งการขยายตัวของไวรัสได้ถึง 100% อีกด้วย โดยเฉพาะนักวิจัยไทยที่ได้ค้นพบ สารสกัด “กระชายขาว” ที่มีฤทธิ์ต้าน เชื้อไวรัสโควิด-19 ได้นั้น ควรจะมีคุณสมบัติดังนี้

1. กระชายขาวที่จะนำมาสกัดนั้น จะต้องทำการปลูกแบบ Organics Farms
2. กระชายที่ใช้สกัดตามงานวิจัยคือ สายพันธุ์ “รากกล้วย”
3. ต้องเป็นรูปแบบของสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์เท่านั้นจึงจะสามารถที่จะดึงสารสำคัญ Pinosa ออกมาใช้ได้
4. การใช้สารกลุ่ม Pinosa ในการฆ่าเชื้อไวรัสโควิดนั้น จะต้องมีการใช้สารสำคัญคือ Pinostrobin ในปริมาณ 180 mg. ต่อวันขึ้นไป

คำแนะนำ การทานสารสกัดกระชายขาว

1.) ป้องกัน รับประทานครั้งละ 2เม็ด วันละ 1-2 ครั้ง ขึ้นกับเวลาที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง
2.) หากสัมผัสกับผู้ป่วยหรือกลุ่มเสี่ยงสูง ให้ทาน 3เม็ด /เวลา เป็นเวลา
5 วัน แต่หากมีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ ระหว่างนั้นให้ปรับมาทานแบบกลุ่ม3
3.) หากมีอาการไข้ เจ็บคอ ไอ ให้ทาน 5เม็ด 3 เวลา เป็นเวลา 5 วัน
4.) หากมีโรคประจำตัว อ้วน อาการหนักมาก ให้ทาน 6เม็ด 3 เวลา ครบ 5 วัน ลดลงเหลือ 4เม็ด 3 เวลา อีก 2 วัน และลดลงเหลือ 2 เม็ด 3 เวลา อีก 2 วัน

ขอบคุณ ข้อมูลจาก : ดร.ศุภฤกษ์ บวรภิญโญ ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านการค้นหาตัวยา มหาวิทยาลัยมหิดล ECDD ทีมงานวิจัยคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ TCELS